พูดคุยสอบถามทิ้งคำถามไว้ที่คอมเม้นต์แต่ละบทความที่สนใจได้เลยค่ะ, บทความทั้งหมดย่าเขียนเองทุกคำแชร์ต่อได้เพื่อประโยชน์โดยทั่วกันคะ. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ยาไอซ์ ใช้ทำลายสมอง

ยาไอซ์ คือยาบ้าที่บริสุทธิ์มากกว่า เป็นสารเสพติดให้โทษประเภทที่1 (ซึ่งเป็นระดับสูงสุด)
เป็นยาเสพติดที่ติดง่ายมาก(highly addictive) และเป็นการเสพติดทางกาย
(การเสพติดทางกาย ไม่เหมือนการเสพติดทางใจที่หักดิบแข็งใจเลิกได้)

ยาไอซ์เมื่อใช้ไปแล้วจะไปมีผลหลักๆที่สมอง มีผลกระตุ้นและทำลาย
หากใช้ในปริมาณที่เรียกว่า Lethal dose ก็จะทำให้ผู้เสพถึงแก่ความตายทันที
รูปที่จะนำมาประกอบการอธิบายต่อไปนี้ คือภาพการสแกนสมองของคนปกติ(ซ้าย)กับผู้ติดยาไอซ์(ขวา)
จะเห็นได้ว่าเนื้อสมองของผู้ติดยาไอซ์โดนทำลายไปโดยไม่สามารถฟื้นฟูได้

ผลต่อยาไอซ์ที่ทำลายสมองไม่ได้มีผลต่อเนื้อสมองพร่ำเพรื่อ แต่มันจะไปทำลายเนื้อสมองอย่างมีแบบแผน
คือไปทำลายเนื้อสมองส่วนในมากที่สุด ดังรูปต่อไปนี้ 

ทำให้ลักษณะเนื้อสมองของผู้เสพยาไอซ์จึงเป็นลักษณะ "สมองกลวง" เช่นผลการสแกนเนื้อสมองรูปแรกนั่นเอง


หลายคนคิดว่ายาไอซ์เป็นตัวช่วยลดน้ำหนักชั้นดี ที่จริงแล้วผู้เสพยาไอซ์ไม่โทรมเร็วเท่ายาบ้า
ผู้เสพยาไอซ์ในช่วงแรกๆจึงยังดูอวบอิ่มไม่ผอมซูบ แต่หากไม่สามารถเลิกเสพได้อาการแสดงทางน้ำหนักก็จะชัดเจนขึ้น
หลายคนเห็นภาพนี้แล้วก็อุทานขึ้นมาว่า ใครๆก็รู้ว่ายาไอซ์อันตราย ไม่มีใครใช้เป็นสิบๆปีหรอก
คำอุทานนั่นคงจะเป็นจริง หากการเสพติดนั้นเป็นการเสพติดทางใจที่สามารถหักดิบได้อย่างบุหรี่
แต่สำหรับยาไอซ์ที่เป็นยาเสพติดให้โทษระดับสูงสุดที่เสพติดทางกายซึ่งทำลายสมอง 
การครองสติคิดเลิกมันไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย ดั่งเช่นที่ผู้มีเนื้อสมองสมบูรณ์เช่นรูปแรกคิด
นี่คืออันตรายของสิ่ง "เสพติด" ที่ผู้เสพคือ "ผู้ป่วย"
และสุดท้ายคืออย่าลืมว่า แม้เป็นบุหรี่ที่ติดทางใจและเลิกง่ายกว่า ก็ยังมีเสพเกินสิบปีมากมายหลายคน


ผลของยาไอซ์ ไม่ได้มีผลแค่เพียงกับระบบประสาทและสมอง
แต่มีผลต่อระบบอื่นๆของร่างกายดังรูปถัดไป


แล้วยาไอซ์ทำให้เสพติดได้อย่างไร?
การเสพยาไอซ์หรือยาบ้าในช่วงแรก จะไปกระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึก"พึงพอใจ" 
หลอนประสาททำให้เคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน เหมือนเรากำลังฝันกลางวันหรือวาดวิมานบนอากาศอย่างพริ้มสุข
นอกจากนี้หากหากเสพในระดับหนึ่ง จะไปกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ทำให้กล้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ไม่รู้จักกันได้หลายคน
จึงทำให้ได้ยินยาไอซ์ คู่กันกับปาร์ตี้เซ็กส์อยู่เนืองๆ 
เรื่องที่จะตามมาอีกคือเอดส์,โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์,ตั้งครรภ์ นอกเหนือจากผลต่างๆที่ระบุในภาพรูปสุดท้าย เป็นต้น


ข้อดีของการเป็นหวัดแล้วมีไข้, ทำไมหมอไม่ให้กินยาปฏิชีวนะ, ตู้ยาในบ้านควรและไม่ควรมียาอะไร

ทำไมหนอ... เวลาที่เราเป็นหวัดจะต้องมีไข้ขึ้นสูงด้วย

ไข้หวัดส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสนี้ไม่ทนต่อความร้อน
การที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น 38-40องศาเซลเซียสนั้น เป็นการต่อสู้กับไวรัสอย่างหนึ่งของร่างกาย
จริงอยู่! ที่การมีไข้ไม่ดีต่อคนเรา แต่ก็เป็นสภาวะทีี่ไม่ดีต่อไวรัสเช่นกัน
นี่คือเหตุผล ว่าทำไมร่างกายเรามีไข้ขึ้นสูงเมื่อเราเป็นหวัด

ด้วยข้อจำกัดด้านอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อไวรัสไข้หวัดธรรมดา
รวมไปถึงไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ไข้หวัดบลาๆๆนี่เอง
ทำให้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ต้องผลิตและเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำ

ด้านผู้ป่วยและญาติ เวลาเป็นไข้หวัดแล้วเป็นไข้ขึ้นสูง ก็ดูแลผู้ป่วยไปตามอาการ
ขอให้เข้าใจว่าตอนนี้ร่างกายกำลังต่อสู้กับไวรัส ขอให้เสริมทัพให้ร่างกายด้วยการดูแลตัวเอง ทานอาหารพักผ่อนให้เพียงพอ
ไม่จำเป็นต้องร้องขอยายาปฏิชีวนะเพราะไม่มีประโยชน์ใดๆ ซ้ำร้ายยังเกิดโทษ


ยาปฏิชีวนะกับไข้หวัดรวมถึงเจ็บคอนั้น ใช้ในบางกรณีที่มีข้อบ่งใช้ตามที่แพทย์เห็นสมควรเท่านั้น
คือกรณีที่เป็นหวัดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและมีอาการแสดงหรือโรคประจำตัวบ่งใช้ว่าจะต้องกิน
ยาปฏิชีวนะนั้น ถ้ากินพร่ำเพรื่อย กินดักไข้ อันตรายมากจ้าา 
ในขณะเดียวกันยาปฏิชีวนะก็มีข้อบ่งใช้้อื่นที่ไม่เกี่ยวกับแบคทีเรียด้วย 
เช่น บางเคสที่ต้องทานยาปฏิชีวนะก่อนถอนฟัน เป็นต้น
ฉะนั้น ถ้าไม่มีอาการด้านติดเชื้อแบคทีเรียแล้วหมอให้กินยาปฏิชีวนะ ก็ไม่ต้องกังวลไปจ้า

การใช้ยามีความเหมาะสมในแต่ละคนในแต่ละโรคในแต่ละครั้งหยุมหยิม
การใช้ยาไม่ได้ง่ายแค่เป็นหวัดแล้วกินยาแก้หวัด ทางการแพทย์ไม่มียาแก้นะ มีแต่พยาธิสภาพโรคและกลไกของยา
คนไข้ไมเกรนบางคนต้องกินยากันชักหรือยาโรคหัวใจเลยเชื่อป่าว?

ฤดูฝนมาแล้ว ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงนะคะ
ตู้ยาสามัญประจำบ้านสำรองแค่ยาสามัญประจำบ้านก็เพียงพอไม่ต้องสำรองยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษนะคะ
ยามีสองด้าน มียาดีแต่ใช้ผิดจะเป็นพิษมากกว่าประโยชน์นะคะ #ขอบอก #ขอบอก

เริมที่ปาก ไม่ต้องขาดความมั่นใจ

เริมที่ปากเป็นคนละประเภทกับเริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่ปาก(และบริเวณอื่นเหนือสะดือ)เป็นประเภทแรก ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เริมที่อวัยวะเพศเป็นประเภทที่สอง ติดต่อทางเพศสัมพันธ์

หนุ่มสาวที่เป็นเริมที่ปากไม่ต้องขาดความมั่นใจ ทราบไหมว่าเริมที่ปากนี้เด็กๆเป็นกันแยอะ
สาเหตุที่เด็กๆวัยอนุบาลเป็นเริมที่ปากกันแยอะ เพราะเริมที่ปากเป็นโรคที่ติดต่อด้วยการใช้ข้าวของดื่มน้ำแก้วเดียวกันได้

ทำไมเป็นเริมที่ปากแล้วไม่ควรเครียด
เพราะ 1. มันไม่ใช่โรคที่น่าอับอาย มันไม่ได้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การกินน้ำแก้วเดียวกันก็ติดกันได้
2. ความเครียดทำให้เริมหายช้า และทำให้กลับมาเป็นใหม่ได้ เพราะเริม"เป็นโรคที่ไม่หายขาด"

ผู้ที่เป็นเริมแล้วหายไป เชื้อเริมไม่ได้หาย แต่ซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาทตรงจุดเดิมที่เคยเป็น
เมื่อร่างกายอ่อนแอ นอนน้อย เครียด เชื้อจะกลับมาแผลงฤทธิ์ทีอาการขึ้นอีกที่จุดเดิมที่เคยเป็น นี่คือข่าวร้าย
แต่ข่าวดีของเริม คือการเป็นซ้ำในครั้งหลังๆจะมีอาการที่น้อยกว่าหรือหายเร็วกว่าครั้งแรกๆ ไม่มีไข้
(โดยเฉลี่ยจะเป็นซ้ำประมาณ 5ครั้งต่อปี)

เป็นเริมที่ปาก ไม่รักษาก็หาย(ชั่วคราว) การรักษาจะช่วยให้ลดความทรมานจากการเจ็บแผลและหายเร็วขึ้น
การรักษานอกจาก 1. ทำร่างกายให้แข็งแรง ไม่เครียด ไม่สัมผัสจุดที่เป็นบ่อย หลีกเลี่ยงแสงแดด/ความเย็น/แอลกอฮอล์
(และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในผู้หญิงและเป็นปัจจัยกระตุ้นการเป็นซ้ำ คือประจำเดือน)
2. ใช้ยากินและ/หรือทารักษาเริมโดยเฉพาะอย่าง Acyclovir*, Valacyclovir, famciclovir แล้ว
ในบางเคสหมออาจพิจารณาจ่าย
 3. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย(ยาปฏิชีวนะ)** เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำที่แผลเพิ่มเติมด้วย
ในขณะเดียวกันในกรณีที่เคยใช้ยาฆ่าแบคทีเรียแล้วได้ผลดี เมื่อเป็นซ้ำแล้วหมอคนใหม่ไม่จ่ายยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
อาจปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติมด้วยได้ ว่าลักษณะที่เป็นครั้งนี้ควรใช้ยาปฏิชีวะร่วมด้วยหรือไม่
คุณหมอจะพิจารณาเป็นกรณีๆไป การรักษาโรคเดียวกันของแต่ละคนและแต่ละครั้งมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง

ในขณะเดียวกันผู้ที่มีตุ่มใสที่ปากไม่ควรซื้อยาเอง
ไม่ควรตีความไปเองว่าตนเป็นเริมหรือแผลในปากหรือโรคอะไรแล้วสั่งให้ใครไปซื้อยาให้
ควรแจ้งอาการหรือไปพบแพทย์หรือเภสัชกรด้วยตนเอง เพราะอาการที่เกิดขึ้นมียาที่เหมาะสมที่แตกต่างกัน
อาการจากบางโรค อาจควรใช้ยาทาที่เป็นกลุ่มสเตียรอยด์
แต่เริมที่ปากจะมีอาการที่แย่มากขึ้นหากใช้ยาที่เป็นกลุ่มสเตียรอยด์

*ข้อแนะนำพิเศษในการทาน Acyclovir : ยานี้อาจตกผลึกที่ท่อไตได้หากทานน้ำน้อย จึงควรดื่มน้ำตามมากๆ
ข้อแนะนำพิเศษสำหรับ Acyclovir cream : 1.ใช้กับเริมประเภทแรก(ที่ริมฝีปาก)เท่านั้น ไม่ควรใช้กับเริมที่อวัยวะเพศ
2. ยาทาให้ผลดีในครั้งแรกที่ติดเชื้อ การใช้ Acyclovir cream สำหรับผู้กลับเป็นซ้ำอาจไม่ช่วยลดระยะเวลาที่เป็น
สำหรับผู้เป็นซ้ำ จึงแนะนำ Acyclovir แบบกิน มากกว่าแบบทา

*ความแตกต่างของยารักษาเริมแต่ละตัวในครั้งแรกที่เป็น
1.Acyclovir เลือกความถี่ต่อวันได้ 3 หรือ 5 ครั้งต่อวัน
3 ครั้งต่อวัน : ใช้ครั้งละ 400มิลลิกรัม
5 ครั้งต่อวัน : ใช้ครั้งละ 200มิลลิกรัม
2. และ 3. Famciclovir และ Valacyclovir ทาน 3 และ 2 ครั้งต่อวันตามลำดับ
คือ Famciclovir 3ครั้งต่อวัน : เม็ดยา 250มิลลิกรัม
ส่วนValacyclovir 2ครั้งต่อวัน : เม็ดยา 1,000มิลลิกรัม
จะใช้ตัวไหน ก็ขึ้นกับปัจจัยต่างๆเกี่ยวข้องและเอื้ออำนวย

สำหรับการใช้ยารักษาเริมเมื่อกลับเป็นซ้ำ จะใช้น้อยลงกว่าครั้งแรกที่เป็น
1.Acyclovir เลือกความถี่ต่อวันได้ 2,3หรือ5ครั้งต่อวัน
2 ครั้งต่อวัน : ใช้ครั้งละ 800มิลลิกรัม
3 ครั้งต่อวัน : ใช้ครั้งละ 400มิลลิกรัม
5 ครั้งต่อวัน : ใช้ครั้งละ 200มิลลิกรัม

2. Famcyclovir ลดทั้งโดสและเวลาลงจากการเป็นครั้งแรก
(เป็นครั้งแรกใช้ 250mg*3ครั้งต่อวัน) เป็นซ้ำใช้เพียง 125mg*2ครั้งต่อวัน
3. Valacyclovir ใช้วันละ 2ครั้งเหมือนการเป็นครั้งแรก แต่ลดโดสลงจาก 1,000mg เป็น 500mg

นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาทั้งสามเพื่อป้องกันอีกด้วย
แต่ไม่ขอลงรายละเอียดไว้ ณ ที่นี้ เนื่องจากต้องพิจารณามากกว่าการใช้เมื่อมีอาการ

**ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะแก้อักเสบไม่ได้
ทางการแพทย์มียากลุ่มอื่นซึ่งเป็นยาแก้อักเสบ จึงไม่ควรเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ


สมุนไพรที่บรรเทาแผลเริมได้ คือ
พญายอ หรือ เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญาปล้องทอง (ทั้งหมดนี้เป็นต้นเดียวกัน) มีเป็นรูปครีมจำหน่ายในร้านยา
 ส่วนสมุนไพรที่หาทำยาเองได้(ยังไม่เห็นทำเป็นรูปแบบครีมวางจำหน่าย) คือ ใบตำลึง ใบน้ำเต้า ใบว่านมหากาฬ
การใช้สำหรับเริมที่ปาก คือ ตำเติมเหล้าแล้วพอก,
ในบางกรณีที่ไม่ดีต่อเหล้า ก็บีบใบสดๆแล้วมาพอกแผล, หรือคั้นน้ำผสมกับดินสอพองสตุ***แล้วพอกแผลก็ได้
(***ดินสอพองสตุ คือดินสอพองที่ผ่านการฆ่าเชื้อ ต่างจากดินสอพองทั่วๆไปที่ไม่สตุ)
เพียงแต่การทำสมุนไพรพอกเองอาจไม่สะดวกเท่าการใช้ครีมพญายอสำเร็จรูปที่สะดวกและทานอกบ้านได้ง่าย
การใช้สมุนไพรทำเองสำหรับเริมที่อวัยวะเพศ คือต้มแล้วดื่ม1-2กำ
ส่วนครีมพญายอ สามารถใช้กับเริมที่อวัยวะเพศได้ (Acyclovir cream ไม่ควรใช้กับเริมอวัยวะเพศเพราะอาจทำให้แสบ****
****ปล,นี่คือผลทางทฤษฎี
หากมีผู้เคยใช้ Acyclovir cream ที่อวัยวะเพศแล้วไม่แสบ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับการให้ข้อมูลเป็นวิทยาทานนะคะ)

เริมถ้าเป็นแล้วจะเป็นอีก, แต่ครั้งหลังรุนแรงน้อยกว่า, และป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงตามที่แต้มแถบเขียวไว้
เริมที่ปาก เด็กๆเป็นกันแยอะ ไม่ต้องอาย ระวังการใช้ของใช้ด้วยกัน



วิธีลบเครื่องสำอางอย่างง่าย สำหรับผู้แต่งหน้าเฉพาะกิจทั้งเด็กและผู้ใหญ่

การแต่งหน้าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิง แต่ก็มีผู้หญิงหลายคนที่ไม่ได้แต่งหน้าเป็นเรื่องปกติ
สาวๆหรือเด็กๆที่แต่งหน้าเฉพาะในโอกาสพิเศษบางคนจึงไม่ทราบว่าควรทำความสะอาดเครื่องสำอางอย่างไร

หากมีงบ น้ำยาล้างเครื่องสำอาง(อย่างมาสคาร่า, อายไลเนอร์, อายแชโดว์) โดยเฉพาะก็เหมาะสมดี
แต่หากไม่มีงบ "เบบี้ออยล์" ก็คบได้
เบบี้ออยล์ส่วนที่จากการใช้ทำความสะอาดเครื่องสำอางยังนำมาใช้บำรุงผิวบำรุงผมต่อได้


เครื่องสำอางที่ล้างออกยากมาก คือมาสคาร่า(ปัดขนตา) และอายไลเนอร์(เขียนขอบตา)
มาสคาร่าและอายไลเนอร์ ก็แบ่งออกได้อีกหลายประเภท บางประเภทแค่ใช้น้ำอุ่นก็ล้างออกได้
แต่ในเมื่อเราไม่ทราบประเภทเครื่องสำอางที่ช่างแต่งหน้าใช้ วิธีทำความสะอาดหน้าที่ทำได้คือ
ใช้สำลีแผ่นชุบเบบี้ออยล์แล้วโปะที่ดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ1นาที แล้วค่อยเช็ดลงมาตามแนวขนตา
มาสคาร่าและอายไลเนอร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ อาจใช้คอตตอนบัดเช็ดตามแนวขนตาและตามแนวขอบตา



เมื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางออกแล้ว ก็ล้างหน้าตามปกติ
การล้างหน้าอาจจะใช้น้ำปะปาก็ได้ ใช้น้ำอุ่นเล็กน้อยก็ดีจะช่วยล้างเครื่องสำอางอีกแรงหนึ่ง(ถ้าสะดวก)
และอย่าลืมว่า ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ต้องใส่คอนแทคเลนส์ก่อนแต่งหน้า, และทำความสะอาดใบหน้าก่อนถอดคอนแทคเลนส์
สิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก คือความสะอาดของมือที่สัมผัสคอนแทคเลนส์ และห้ามลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน
การใส่คอนแทคเลนส์ในแต่ละวันนั้น ไม่ควรมากกว่า 8ชั่วโมง
น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่ใช้และภาชนะก็ต้องสะอาด

ทำไมใช้เปลือกมังคุด แล้วยังหยุดสิวไม่ได้?

จริงอยู่ที่ในสมุนไพรอาจมีประโยชน์สารพัดสารพัน
แต่การนำไปใช้ให้ได้ผลต้องเป็นการนำไปใช้ให้ถูกทาง
ไม่ใช่ว่าขอให้เป็นสมุนไพรแล้วเอาไปใช้แบบไหนอย่างไรก็ได้ผลไปทั้งหมด
สมุนไพรก็มีโทษ การใช้ให้เกิดประโยชน์ต้องใช้ให้ถูกวิธี

มังคุด "ราชินีแห่งผลไม้ไทย" มีความโดดเด่นที่ดีต่อสิวอักเสบ
ประการแรก คำว่าดีต่อสิวอักเสบนั้น ไม่ใช่เป็นสิวอักเสบแล้วต้องใช้มังคุดถึงจะดีที่สุด
แต่หมายถึงสารจากส่วนหนึ่งของมังคุด เหมาะกับสิวอักเสบมากกว่าสิวอุดตัน สิวเสี้ยน หรือสิวอื่นๆ

สิวอักเสบคือสิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย
สิวอักเสบจึงดีขึ้นเมื่อใช้ยาที่มีฤทธิ์ต่อแบคทีเรีย
ในขณะเดียวกันสิวประเภทอื่น เช่น สิวเสี้ยน สิวอุดตัน อาจไม่ดีขึ้นเมื่อใช้ยาฆ่าแบคทีเรีย
ยาสิวที่มีผลต่อแบคทีเรียที่คุ้นเคยชื่อ คือ Clindamycin ชื่อนี้เป็นชื่อยา ชื่อการค้าก็ขึ้นกับการตั้งชื่อแตกต่างกันไป
แต่ไม่ว่าชื่อการค้าจะชื่ออะไร ถ้าเป็นตัวยาตัวเดียวกัน การรักษาก็เหมือนกัน

ไปดูกันที่สิวอักเสบ
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าสิวอักเสบเกิดจากแบคทีเรีย
เชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับสิว เช่น P. acne, S.aureus
P.acne คือ Propionibacterium acne
S. aureus คือ Staphylococcus aureus
สารในมังคุดที่ฆ่าแบคทีเรีย S. aureus ได้ คือ Mangostin
การตั้งตำรับหรือเลือกตำรับสารสกัดจากมังคุดให้มีประสิทธิภาพต่อการรักษาสิว
จึงต้องเลือกตำรับที่สกัดสาร Mangostin ออกมาได้ดี
แล้วอะไรล่ะ ที่สกัด Mangostin ออกมาได้ดี เพื่อให้ได้ผลรักษาสิวอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพ

การละลายของ Mangostin ในสารละลายต่างๆเป็นดังนี้
1. ละลายได้ดี           (Freely soluble)          ใน Methanol(เมทานอล)
2. ละลายได้             (Soluble)                     ใน Ethanol(เอทานอล)
3. ละลายได้บ้าง        (Sparingly soluble)     ใน Propylene glycol(โพรพิลีน ไกลคอล)และ Glycerin(กลีเซอรีน)
4. ละลายได้น้อยมาก (Very slightly soluble) ใน Deionized water (น้ำ*)
(* น้ำมีหลายประเภท น้ำดิบ, น้ำ Reverse osmosis, น้ำ Deionized water, น้ำ water for injection, ... )

เมื่อมาถึงจุดนี้ จะเห็นได้ชัดว่า
การนำคุณสมบัติลดสิวอักเสบของสาร Mangostin ในมังคุด ไปรักษาสิวให้มีประสิทธิภาพ
จะต้องสกัดสาร Mangostin ออกมาได้และอยู่ในตำรับที่เหมาะสม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการใช้สมุนไพรหรือยาหรือแม้แต่สารต่างๆจึงไม่ให้ผลในบางครั้ง
คำตอบคือเป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกวิธี ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
การนำผงเปลือกมังคุดมาละลายน้ำแล้วพอกหน้ารักษาสิวในบางครั้ง จึงอาจให้ผลรักษาสิวที่ไม่ดีนัก
เพราะน้ำละลายสาร Mangostin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ S.aureus ออกมาได้น้อยมากนั่นเอง
นอกจากนี้ปริมาณสาร Mangostin ก็สำคัญ, 
คือหากใช้น้อยกว่าปริมาณที่มีผลยับยั้งเชื้อแบคทีเรียS.aureus การใช้นั้นก็ไม่สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้นั่นเอง







แปรงแข็งเกินไปไม่ดี, แปรงนุ่มเกินไปก็ไม่ดี

ภาพด้านบน คือตัวอย่างแปรงสีฟันบางส่วน
ถามว่าเราควรเลือกใช้แปรงสีฟันแบบไหน? คงไม่มีใครตอบได้เท่าตัวผู้ใช้เอง

หลายคนจะทราบดีว่า แปรงที่แข็งเกินไปจะไม่ดีต่อเหงือก
แต่บางคนยังไม่ทราบว่า แปรงที่นุ่มเกินไปจะไม่ดีต่อฟัน

ในจำนวนนี้มีแปรงแบบหนึ่งที่ขนแปรงนุ่มมากๆ
เป็นแปรงที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ควรใช้ขนแปรงที่นุ่มมากเป็นพิเศษ เช่น ผู้ที่ถอนฟันคุด เป็นต้น
หลายคนใช้แล้วติดใจในความนุ๊มมนุ่มละมุนเหงือกและฟัน แล้วใช้ต่อเนื่องกันเป็นประจำ
ทำเช่นนี้แม้จะดีต่อเหงือกแต่อาจไม่ดีต่อฟันได้ 
แปรงสีฟันที่ใช้นอกจากจะควรละมุนต่อเหงือก แต่ควรทำความสะอาดฟันได้ดีด้วย
การเลือกใช้แปรงสีฟัน จึงต้องเลือกที่เหมาะสมกับ 1.ฟัน, 2. เหงือก, 3.ลิ้น 
ไม่ควรเลือกทั้งแปรงที่แข็งและนุ่มมากจนเกินไป และสุดท้ายอย่าลืมแปรงลิ้นด้วยนะคะ

เกาะกระแสซี่รีส์"ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น" : ทำไมดื่มแอลกอฮอร์แล้วปัสสาวะบ่อย ทำไมกินเค็มมากๆแล้วไม่ปัสสาวะ

ด้วยเวลาว่างที่น้อยและเน็ตที่ช้า ถึงตอนนี้ยังหาโอกาสชมซีรีส์"ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น"ไม่ได้เลย
เอาล่ะไม่เป็นไร ขอใช้กระแสนี้หยิบยกเรื่องฮอร์โมนมาเล่าสู่กันฟังหน่อยดีกว่า..


ในร่างกายเราประกอบด้วยน้ำมากกว่าส่วนประกอบอื่น
คือ ถ้าแบ่งร่างกายเราเป็นสี่เสี้ยว เสี้ยวหนึ่งจะเป็นน้ำ โอ้ว...แยอะไหมล่าาา
แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็น "แยอะมากๆ" ฉะนั้นร่างกายเราต้องมีการควบคุมระดับสิ่งสำคัญของร่างกายไว้
คิดดูสิว่าถ้าวันนึงเสียน้ำมากๆๆ หรือดื่มน้ำเข้าไปมากๆๆ ร่างกายเราจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีผู้รักษาสมดุลนี้ไว้
ฮอร์โมน.. ที่คุมสมดุลในน้ำของร่างกายเราไว้ คือ AntiDiuretic Hormone
ฟังดูทางการมากก คือถ้าใครมีพื้นฐานในรากศัพท์ภาษา จะเข้าใจความหมายของชื่อนี้ทันทีเลย
ส่วนชื่อเล่นของฮอร์โมนนี้คือ "Vasopressin" ชื่อย่อสุดๆคือ ADH

VasoPressin จะลดการปัสสาวะ ชื่อทางการจึงเป็น AntiDiuretic Hormone
(โครงสร้าง VasoPressin คล้าย Oxytocin : บล๊อกต่อไปค่อยมาคุย Oxytocin กันต่อนะ)
การที่ Vasopressin ลดปัสสาวะ และสสารไม่มีวันหายไปไหน ทายออกใช่ไหมคะว่าปัสสาวะที่ลดลงนั้นหายไปไหน
ใช่แล้ว... ปัสสาวะที่ลดลง ก็ถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง
พอปัสสาวะน้อยลง น้ำในร่างกายก็มากขึ้น

ฉะนั้นจึงทายได้เลยว่า คนเมาโต๋เต๋ที่ปัสสาวะมาก พอรุ่งเช้าขึ้นมาเขาจะเป็นอย่างไร? กระหายน้ำ มึนงง.
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
คนที่กินแอลกอฮอล์ เขากินน้ำเข้าไปแยอะ ทำให้น้ำในร่างกายมาก
แล้ว Alcohol ก็ไปยับยั้ง Vasopressin ทำให้ไม่มีตัวต้านการปัสสาวะ
คราวนี้ล่ะ ปัสสาวะกันบ่อยเลยทีเดียวเชียว
แต่เมื่อเสียน้ำออกไปมาก สารน้ำในร่างกายน้อย ความดันก็จะต่ำ
รุ่งเช้าเท่านั้นล่ะก็จะรู้สึกล่ะ "มึนๆงงๆจังเลย รู้สึกกระหายน้ำด้วย"
นี่ล่ะค่ะ ผลของฮอร์โมนที่ควบคุมส่วนสำคัญที่สุดของร่างกายคือน้ำไว้


แล้วถ้าเรากินเค็มเข้าไปแยอะ กินเค็ม..เค็ม..เค็ม..เค็ม
Hypothalamus ก็จะรับรู้แล้วว่าเกลือในร่างกายเข้มข้นมากไปแล้ว
พอเข้มข้นมาก ทำยังไงล่ะให้มันเข้มข้นน้อยลงจนสู่ปกติ
ฮัชช่า.. แน่นอนว่าต้องเอาน้ำมาเจือจางเกลือให้กลับสู่ความเข้มข้นทางปกติ
ฉะนั้น ถ้าเรากินเค็มๆๆๆ เราก็จะมี Vasopressin มากเพื่อดูดกลับน้ำมาเจือจางเกลือ
ทำให้เราปัสสาวะน้อย แล้วก็บวมน้ำ


มาเล่นเกมก่อนจบกันไหมคะ
ถ้า คุณชายรณพีร์ ไปปฏิบัติภารกิจแล้วเกิดบาดเจ็บ เสียเลือดมาก
.. คุณชายจะมีความดันสูงหรือต่ำ?
.. ถ้าเจาะเลือดคุณชายออกมาตอนนั้นแล้วเข้าแลป ค่า ADH ตอนคุณชายเสียเลือด จะมากหรือน้อย

ติ๊กต่อก.. ติ๊กต่อก


กริ๊งง หมดเวลาแล้ว ถึงเวลาตอบแล้วค้าาา